2010-10-19

The Karate Kid เดอะ คาราเต้ คิด

image: www.sonyinsider.com
หนังเรื่อง The karate Kid นี้ผมเองไม่แน่ใจว่าถูกนำมาสร้างใหม่หรือป่าว แต่สำหรับใน version 2010 นี้ ได้นักแสดงอย่าง "พี่ใหญ่" (เฉินหลง) มาเป็นปรมาจารญ์กังฟู (ลุงฮัน) ที่ซุ่มตัวอยู่ในรูปของคนดูแลตึก เรื่องย่อก็มีอยู่ว่า มีเด็กคนหนึ่งชื่อ เดร ปาร์กเกอร์ (เจเดน สมิธ) เขาต้องย้ายตามแม่มาที่เมืองจีน เขาเองน่าจะเป็นคนที่เรียกว่า POP ในเมืองดีทร้อนต์เลยก็ว่าไป แต่พอต้องมาอยู่เมืองจีน เขาก็มีปัญหาเรื่อง ภาษา เรื่องเพื่อน ที่ต้องชกต่อยกันตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา ด้วยการไปขัดหูขัดตากับขาใหญ่ประจำถิ่น "เฉิง" จนทำให้ "เดร" โดนซ้อมซะน่วมตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเมืองจีน
* ใครได้ดูแล้วคงจะสงสัยเหมือนที่ผมสงสัยว่า แล้วไอ้เพื่อนที่มันมาแนะนำตัวทีแรก ที่น่าจะเป็นตัวประกอบหลัก แต่ดั้น มีบทสำคัญแค่ฉากแรก แล้วจากนั้นก็หายไปเลย

หลังจากที่เขาโดนซ้อมตั้งแต่วันนั้น เขาก็ต้องพบความหวาดละเวง ไม่กล้าสู้หน้า "เฉิง" และต้องหลบๆซ่อนๆ คุยกับ เหม่ยอิง จนวันนึงเขาก็ได้โอกาสแก้แค้น โดยเอาน้ำสกปรกสาดไปยังกลุ่มของพวก เฉิง และเขาก็หนีไปยังที่พัก จนทางตัน เขาเองก็ไม่มีวิชาการป้องกันตัว แต่ก็ใจสู้อยู่ไม่เบา จนลุงฮันเข้ามาเห็นเหตุการณ์แล้วช่วยเหลือ เดรเอาไว้ จากนั้นความเข้มข้นของเรื่องก็บังเกิด เมื่อเดรอยากให้เรื่องนี้มันจบ เขาไม่อยากทนถูกซ้อมอยู่แบบนี้ เขาจึงอยากให้ลุงฮันสอนวิชากังฟูให้แก่เขา เพื่อเขาจะได้ไปอัดพวกนั้นบ้าง ลุงฮันก็พูดกลับมาว่า

Best fights are the onces we avoid.
"ยอดกลศึกคือชนะ โดยไม่ต้องออกศึก"

คือเขาพยายามบอกว่า กังฟู ไม่ใช่วิชาที่จะเอาไปต่อยตีกับใคร กังฟูมีไว้เพื่อเรียนรู้ กังฟูมีไว้ป้องกันตัว กังฟูก็คือการดำเนินชีวิต เมื่อยังไม่ได้คำตอบเดรจึงชักชวนให้ลุงฮันไปเป็นผู้เจรจาหย่าศึกให้ แต่แล้วสำนักสอนศิลปป้องกันตัวที่ไปหานั้น (ไม่รู้ชื่อ) ก็ได้ท้าทายให้เดรประลอง เพื่อให้เรื่องมันจบ แน่นอนว่าเดรไม่มีทางสู้เฉิงได้อยู่แล้ว เขาจึงขอตัวกลับ แต่ถูกกันท่าไว้ จนในที่สุด ลุงฮันรับปากว่าจะให้เดรไปสู้กันในการประลองศึก กังฟูระดับเยาวชน

จากนั้นทุกวัน เดรก็มีภารกิจที่ต้องไปเรียนวิชากังฟูจากลุงฮัน เดรเองเป็นเด็กที่ไม่ค่อยมีระเบียบ เขาชอบทิ้งเสื้อ Jacket ไว้กองกับพื้น ทำให้ต้องโดนแม่ดุอยู่บ่อยๆ ซึ่งลุงฮันก็เคยเห็น จึงได้ทำเสาแขวนเสื้อ เพื่อให้เดรได้ฝึกการแขวนเสื้อ ถอดเสื้อ ใส่เสื้อ ทิ้งเสื้อ เก็บเสื้อ แล้วก็แขวนเสื้อ เดรทำอย่างนี้อยู่หลายวัน เป็นพันๆครั้ง จนเขาเองก็ไม่รู้ตัวว่า ที่เขาทำนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกวิชากังฟู (เพราะกังฟู คือทุกสิ่ง) แล้ว ลุงฮัน ก็พาเดรไปยัง บ่อน้ำมังกร ซึ่ง location ที่ไปใช้ถ่าย ผมเองไม่ทราบว่าเป็นวัดอะไร แต่สวยมากครับ อยู่บนภูเขาสูง น่าจะติดอันดับความสวยของโลกเลยละ ทางเดินจะเป็นบันได เลาะไปตามสันเขา ตลอดทางผมสังเกตุเห็น โซ่ ที่เขาใช้เป็นที่จับ เป็นราวบันได มีแม่กุญแจแขวนอยู่มากมายเลยครับ

ซึ่งต้องเป็นแบบที่เราคิดแน่นอน ที่เป็นความเชื่อว่าถ้ามีคู่รักคู่ไหน ได้มาครองแม่กุญแจคู่กันไว้ที่นี่ แล้วปาลูกกุญแจทิ้ง เขาจะไม่มีวันพรากจากกัน บ้านเราก็มีนะครับ รู้สึกจะมีที่สวนผึ้งราชบุรีนี่แหละ เขาเอาแนวคิดนี้มาเป็นจุดขายของรีสอร์ทด้วย (อะเข้าเรื่องต่อ) จนใกล้ถึงบ่อน้ำมังกร เดรได้เห็นจอมยุทธผู้หญิงคนหนึ่ง ทำท่าเหมือนงู เพื่อต่อกรกับงูจงอางที่กำลังแผ่แม่เบี้ย เดรคิดว่า ผู้หญิงคนนั้นเขาทำท่าเลียนแบบงู โยกซ้าย โยกขวาตามงู แต่จริงๆแล้ว ลุงฮันได้พูดว่า

You think only with your eyes, so you are easy to fool.
"เธอวิเคราะห์ด้วยตา จึงถูกลวงตาได้ง่าย"

เพราะจริงๆแล้ว ผู้หญิงไม่ได้ขยับตามงู แต่งูนั่นแหละ ที่กำลังถูกสะกดให้ขยับตามผู้หญิง ผู้หญิงก็คือตัวเรา งูก็คือกระจกสะท้อน ไม่ว่าเราทำอะไรสิ่งที่สะท้อนก็คือตัวเรา มันเป็นสมดุลของการเปลี่ยนแปลง

จากนั้นเดรก็ได้ฝึกวิชากังฟูอย่างหมดเปลือก ลุงฮันได้ถ่ายทอดทุกอย่างให้แก่เขา มีอยู่คำพูดหนึ่ง ในขณะที่ลุงฮันได้ฝึกเดร เขาได้สอนเดรว่า

Everything is Kung Fu
"กังฟู คือทุกสิ่ง"

ทำให้ผมนึกถึงจิตวิญญาณแห่งเต๋า (เซ็น) ที่อธิบายไว้ว่า "เต๋าคือทุกสิ่ง" ซึ่งผมเคยศึกษาเกี่ยวกับ ลัทธิเต๋า  และนิกายเซ็นมาบ้าง มีคำกล่าวอยู่คำนึง ที่บอกว่า "เมื่อศึกษาเต๋าตำรา เต๋าก็คือตำรา แต่เมื่อเข้าถึงเต๋า เต๋าก็ไม่ใช่ตำราอีกต่อไป เต๋าคือทุกสิ่ง ทุกสิ่งล้วนสมดุล"  มันทำให้เรามองเห็นภาพ เหตุและผลของสรรพสิ่งที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่เป็นวัฏจักร

จนใกล้ถึงวันแข่งขัน เดรก็ยังคงไปหาลุงฮันเพื่อฝึกวิชากังฟูต่อ แต่ลุงฮันได้บอกว่าให้พัก

Too much something is not good.
"มากไปก็ไม่ดี"

หมายถึง ให้ทำอะไรแต่พอดี อย่าให้เกิน ทำแต่พองาม พอตัว ไม่ฟุ้มเฝ้อ มันทำให้ผมนึกถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงขึ้นมาทันที

ซึ่งหลังจากเดรไปแล้ว กลางคืนนั้นเองลุงฮันก็ เอาฆ้อนทุกรถยนต์ที่เขา ซ่อมเพิ่งเสร็จ เขาเองทำแบบนี้ทุกๆปี เป็นเพราะเขารู้สึกผิด และเสียใจที่เขาเองเป็นต้นเหตุให้ภรรยาและลูกต้องเสียไป ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาจึงซ่อมมัน และก็ทุบมันในวันที่เสียภรรยาไป เขาทำแบบนี้มาหลายปีแล้ว จนเดรเข้ามาเห็น แล้วเดรก็ช่วยดึง ลุงฮันให้พ้นจากกองทุกข์ที่เขาไม่เคยหลุดพ้น

Life will knock us down. but we can choose whether or not get back up.
"ชีวิตอาจทำเราล้มไปบ้าง แต่เราเลือกได้ว่าจะยอมแพ้หรือลุกขึ้สู้"

เป็นกำลังใจ ให้หลายๆคนก็อาจเคยได้ยินได้ฟัง หรือได้พูดกับใครๆ มาบ้างไม่มากก็น้อย มันก็สอนให้เรารู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น การให้ความรักและกำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญ ที่ขาดไม่ได้ในสังคมมนุษย์
และสุดท้าย ก็ถึงวันประลอง เดรผ่านเขาไปสู่รอบรองชนะเลิศ แต่เจอแผนสกปรกของ (อ.ของเฉิง) ให้ลูกศิษย์คนที่ประลองกับเดร ทำผิดกติกา โดยการเหยียบและชกไปที่น่องของเดร (แบบเจาะยาง) หลายๆที ทำให้เดรเองถึงกับร้องด้วยความเจ็บปวด จนต้องหามลงเวลา จนถึงวินาทีที่จะชิงระหว่าง เดรกับเฉิง เดรเองขอร้องให้ลุงฮัน ใช้วิชาการแพทย์ของจีนโบราณ รักษาให้เขาเพื่อที่เขาจะได้ไปสู้ต่อ ให้มันจบ ให้มันหมดความหวาดกลัวไปจากสมองของเขา เพื่อพิสูจน์ว่าเขาจะแพ้หรือชนะ แต่เขาขอให้เขาได้ทำอย่างเต็มที่ ดีกว่าให้มานั่งอยู่เฉยๆแล้ว ปล่อยให้เฉิงได้รางวัลไป

จนวินาทีที่จะมองบารางวัล เดรก็เดินขึ้นเวลาจนได้ เขาประลองกับเฉิงจนถึง match point ได้คะแนนเท่ากัน 2-2 ใครได้คะแนนที่ 3 นี้ถือเป็นฝ่ายชนะ แต่เฉิงก็ใช้ขาแตะซ้ำไปที่จุดเดิมของเดรที่บาดเจ็บอยู่ ทำให้เขาเองแทบจะลุกไม่ไหว สุดท้าย เดรได้รวบรวมสมาธิ และความนิ่งของเขา ด้วยท่าเดียวกับท่าที่ผู้หญิงสะกดงู ที่เขาไปเห็นมา จนทำให้เขาชนะเฉิงได้ในที่สุด สุดท้ายแล้ว เฉิงได้เข้าไปคาระวะลุงฮัน และจับมือถึงเดร แสดงความยินดีกับชัยชนะของเขา

เรื่องนี้ก็จบง่ายๆ ตามภาษาหนังบ้านๆ ที่ตอนจบพระเอกก็ต้องชนะ ไม่ว่าจะต้องเจออุปสรรคมากแค่ไหน แต่อยากฝากให้เราเก็บเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย ที่อยู่ในเนื้อหาของหนังต่างหาก ที่เป็นส่วนสำคัญ ที่จะทำให้เราชมภาพพยนต์ได้ด้วยความสนุก และคิดตามไปด้วย

No comments:

Post a Comment