2010-10-19

The Karate Kid เดอะ คาราเต้ คิด

image: www.sonyinsider.com
หนังเรื่อง The karate Kid นี้ผมเองไม่แน่ใจว่าถูกนำมาสร้างใหม่หรือป่าว แต่สำหรับใน version 2010 นี้ ได้นักแสดงอย่าง "พี่ใหญ่" (เฉินหลง) มาเป็นปรมาจารญ์กังฟู (ลุงฮัน) ที่ซุ่มตัวอยู่ในรูปของคนดูแลตึก เรื่องย่อก็มีอยู่ว่า มีเด็กคนหนึ่งชื่อ เดร ปาร์กเกอร์ (เจเดน สมิธ) เขาต้องย้ายตามแม่มาที่เมืองจีน เขาเองน่าจะเป็นคนที่เรียกว่า POP ในเมืองดีทร้อนต์เลยก็ว่าไป แต่พอต้องมาอยู่เมืองจีน เขาก็มีปัญหาเรื่อง ภาษา เรื่องเพื่อน ที่ต้องชกต่อยกันตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา ด้วยการไปขัดหูขัดตากับขาใหญ่ประจำถิ่น "เฉิง" จนทำให้ "เดร" โดนซ้อมซะน่วมตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเมืองจีน
* ใครได้ดูแล้วคงจะสงสัยเหมือนที่ผมสงสัยว่า แล้วไอ้เพื่อนที่มันมาแนะนำตัวทีแรก ที่น่าจะเป็นตัวประกอบหลัก แต่ดั้น มีบทสำคัญแค่ฉากแรก แล้วจากนั้นก็หายไปเลย

หลังจากที่เขาโดนซ้อมตั้งแต่วันนั้น เขาก็ต้องพบความหวาดละเวง ไม่กล้าสู้หน้า "เฉิง" และต้องหลบๆซ่อนๆ คุยกับ เหม่ยอิง จนวันนึงเขาก็ได้โอกาสแก้แค้น โดยเอาน้ำสกปรกสาดไปยังกลุ่มของพวก เฉิง และเขาก็หนีไปยังที่พัก จนทางตัน เขาเองก็ไม่มีวิชาการป้องกันตัว แต่ก็ใจสู้อยู่ไม่เบา จนลุงฮันเข้ามาเห็นเหตุการณ์แล้วช่วยเหลือ เดรเอาไว้ จากนั้นความเข้มข้นของเรื่องก็บังเกิด เมื่อเดรอยากให้เรื่องนี้มันจบ เขาไม่อยากทนถูกซ้อมอยู่แบบนี้ เขาจึงอยากให้ลุงฮันสอนวิชากังฟูให้แก่เขา เพื่อเขาจะได้ไปอัดพวกนั้นบ้าง ลุงฮันก็พูดกลับมาว่า

Best fights are the onces we avoid.
"ยอดกลศึกคือชนะ โดยไม่ต้องออกศึก"

คือเขาพยายามบอกว่า กังฟู ไม่ใช่วิชาที่จะเอาไปต่อยตีกับใคร กังฟูมีไว้เพื่อเรียนรู้ กังฟูมีไว้ป้องกันตัว กังฟูก็คือการดำเนินชีวิต เมื่อยังไม่ได้คำตอบเดรจึงชักชวนให้ลุงฮันไปเป็นผู้เจรจาหย่าศึกให้ แต่แล้วสำนักสอนศิลปป้องกันตัวที่ไปหานั้น (ไม่รู้ชื่อ) ก็ได้ท้าทายให้เดรประลอง เพื่อให้เรื่องมันจบ แน่นอนว่าเดรไม่มีทางสู้เฉิงได้อยู่แล้ว เขาจึงขอตัวกลับ แต่ถูกกันท่าไว้ จนในที่สุด ลุงฮันรับปากว่าจะให้เดรไปสู้กันในการประลองศึก กังฟูระดับเยาวชน

จากนั้นทุกวัน เดรก็มีภารกิจที่ต้องไปเรียนวิชากังฟูจากลุงฮัน เดรเองเป็นเด็กที่ไม่ค่อยมีระเบียบ เขาชอบทิ้งเสื้อ Jacket ไว้กองกับพื้น ทำให้ต้องโดนแม่ดุอยู่บ่อยๆ ซึ่งลุงฮันก็เคยเห็น จึงได้ทำเสาแขวนเสื้อ เพื่อให้เดรได้ฝึกการแขวนเสื้อ ถอดเสื้อ ใส่เสื้อ ทิ้งเสื้อ เก็บเสื้อ แล้วก็แขวนเสื้อ เดรทำอย่างนี้อยู่หลายวัน เป็นพันๆครั้ง จนเขาเองก็ไม่รู้ตัวว่า ที่เขาทำนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกวิชากังฟู (เพราะกังฟู คือทุกสิ่ง) แล้ว ลุงฮัน ก็พาเดรไปยัง บ่อน้ำมังกร ซึ่ง location ที่ไปใช้ถ่าย ผมเองไม่ทราบว่าเป็นวัดอะไร แต่สวยมากครับ อยู่บนภูเขาสูง น่าจะติดอันดับความสวยของโลกเลยละ ทางเดินจะเป็นบันได เลาะไปตามสันเขา ตลอดทางผมสังเกตุเห็น โซ่ ที่เขาใช้เป็นที่จับ เป็นราวบันได มีแม่กุญแจแขวนอยู่มากมายเลยครับ

ซึ่งต้องเป็นแบบที่เราคิดแน่นอน ที่เป็นความเชื่อว่าถ้ามีคู่รักคู่ไหน ได้มาครองแม่กุญแจคู่กันไว้ที่นี่ แล้วปาลูกกุญแจทิ้ง เขาจะไม่มีวันพรากจากกัน บ้านเราก็มีนะครับ รู้สึกจะมีที่สวนผึ้งราชบุรีนี่แหละ เขาเอาแนวคิดนี้มาเป็นจุดขายของรีสอร์ทด้วย (อะเข้าเรื่องต่อ) จนใกล้ถึงบ่อน้ำมังกร เดรได้เห็นจอมยุทธผู้หญิงคนหนึ่ง ทำท่าเหมือนงู เพื่อต่อกรกับงูจงอางที่กำลังแผ่แม่เบี้ย เดรคิดว่า ผู้หญิงคนนั้นเขาทำท่าเลียนแบบงู โยกซ้าย โยกขวาตามงู แต่จริงๆแล้ว ลุงฮันได้พูดว่า

You think only with your eyes, so you are easy to fool.
"เธอวิเคราะห์ด้วยตา จึงถูกลวงตาได้ง่าย"

เพราะจริงๆแล้ว ผู้หญิงไม่ได้ขยับตามงู แต่งูนั่นแหละ ที่กำลังถูกสะกดให้ขยับตามผู้หญิง ผู้หญิงก็คือตัวเรา งูก็คือกระจกสะท้อน ไม่ว่าเราทำอะไรสิ่งที่สะท้อนก็คือตัวเรา มันเป็นสมดุลของการเปลี่ยนแปลง

จากนั้นเดรก็ได้ฝึกวิชากังฟูอย่างหมดเปลือก ลุงฮันได้ถ่ายทอดทุกอย่างให้แก่เขา มีอยู่คำพูดหนึ่ง ในขณะที่ลุงฮันได้ฝึกเดร เขาได้สอนเดรว่า

Everything is Kung Fu
"กังฟู คือทุกสิ่ง"

ทำให้ผมนึกถึงจิตวิญญาณแห่งเต๋า (เซ็น) ที่อธิบายไว้ว่า "เต๋าคือทุกสิ่ง" ซึ่งผมเคยศึกษาเกี่ยวกับ ลัทธิเต๋า  และนิกายเซ็นมาบ้าง มีคำกล่าวอยู่คำนึง ที่บอกว่า "เมื่อศึกษาเต๋าตำรา เต๋าก็คือตำรา แต่เมื่อเข้าถึงเต๋า เต๋าก็ไม่ใช่ตำราอีกต่อไป เต๋าคือทุกสิ่ง ทุกสิ่งล้วนสมดุล"  มันทำให้เรามองเห็นภาพ เหตุและผลของสรรพสิ่งที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่เป็นวัฏจักร

จนใกล้ถึงวันแข่งขัน เดรก็ยังคงไปหาลุงฮันเพื่อฝึกวิชากังฟูต่อ แต่ลุงฮันได้บอกว่าให้พัก

Too much something is not good.
"มากไปก็ไม่ดี"

หมายถึง ให้ทำอะไรแต่พอดี อย่าให้เกิน ทำแต่พองาม พอตัว ไม่ฟุ้มเฝ้อ มันทำให้ผมนึกถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงขึ้นมาทันที

ซึ่งหลังจากเดรไปแล้ว กลางคืนนั้นเองลุงฮันก็ เอาฆ้อนทุกรถยนต์ที่เขา ซ่อมเพิ่งเสร็จ เขาเองทำแบบนี้ทุกๆปี เป็นเพราะเขารู้สึกผิด และเสียใจที่เขาเองเป็นต้นเหตุให้ภรรยาและลูกต้องเสียไป ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาจึงซ่อมมัน และก็ทุบมันในวันที่เสียภรรยาไป เขาทำแบบนี้มาหลายปีแล้ว จนเดรเข้ามาเห็น แล้วเดรก็ช่วยดึง ลุงฮันให้พ้นจากกองทุกข์ที่เขาไม่เคยหลุดพ้น

Life will knock us down. but we can choose whether or not get back up.
"ชีวิตอาจทำเราล้มไปบ้าง แต่เราเลือกได้ว่าจะยอมแพ้หรือลุกขึ้สู้"

เป็นกำลังใจ ให้หลายๆคนก็อาจเคยได้ยินได้ฟัง หรือได้พูดกับใครๆ มาบ้างไม่มากก็น้อย มันก็สอนให้เรารู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น การให้ความรักและกำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญ ที่ขาดไม่ได้ในสังคมมนุษย์
และสุดท้าย ก็ถึงวันประลอง เดรผ่านเขาไปสู่รอบรองชนะเลิศ แต่เจอแผนสกปรกของ (อ.ของเฉิง) ให้ลูกศิษย์คนที่ประลองกับเดร ทำผิดกติกา โดยการเหยียบและชกไปที่น่องของเดร (แบบเจาะยาง) หลายๆที ทำให้เดรเองถึงกับร้องด้วยความเจ็บปวด จนต้องหามลงเวลา จนถึงวินาทีที่จะชิงระหว่าง เดรกับเฉิง เดรเองขอร้องให้ลุงฮัน ใช้วิชาการแพทย์ของจีนโบราณ รักษาให้เขาเพื่อที่เขาจะได้ไปสู้ต่อ ให้มันจบ ให้มันหมดความหวาดกลัวไปจากสมองของเขา เพื่อพิสูจน์ว่าเขาจะแพ้หรือชนะ แต่เขาขอให้เขาได้ทำอย่างเต็มที่ ดีกว่าให้มานั่งอยู่เฉยๆแล้ว ปล่อยให้เฉิงได้รางวัลไป

จนวินาทีที่จะมองบารางวัล เดรก็เดินขึ้นเวลาจนได้ เขาประลองกับเฉิงจนถึง match point ได้คะแนนเท่ากัน 2-2 ใครได้คะแนนที่ 3 นี้ถือเป็นฝ่ายชนะ แต่เฉิงก็ใช้ขาแตะซ้ำไปที่จุดเดิมของเดรที่บาดเจ็บอยู่ ทำให้เขาเองแทบจะลุกไม่ไหว สุดท้าย เดรได้รวบรวมสมาธิ และความนิ่งของเขา ด้วยท่าเดียวกับท่าที่ผู้หญิงสะกดงู ที่เขาไปเห็นมา จนทำให้เขาชนะเฉิงได้ในที่สุด สุดท้ายแล้ว เฉิงได้เข้าไปคาระวะลุงฮัน และจับมือถึงเดร แสดงความยินดีกับชัยชนะของเขา

เรื่องนี้ก็จบง่ายๆ ตามภาษาหนังบ้านๆ ที่ตอนจบพระเอกก็ต้องชนะ ไม่ว่าจะต้องเจออุปสรรคมากแค่ไหน แต่อยากฝากให้เราเก็บเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย ที่อยู่ในเนื้อหาของหนังต่างหาก ที่เป็นส่วนสำคัญ ที่จะทำให้เราชมภาพพยนต์ได้ด้วยความสนุก และคิดตามไปด้วย

2010-10-07

WALL-E หุ่นน้อยหัวใจรักษ์โลก

Image:  www.techshout.com

ไม่ได้ชม animation sci-fi/fantasy แนวนี้มานานมากแล้ว กับภาพยนต์เรื่อง "วอลล์ อี" ที่ไม่ค่อยจะคุ้นหูกับชื่อภาษาไทยซักเท่าไหร่ เรื่องนี้เป็นหนังที่ออกมาเมื่อปี 2008 อยู่ในช่วงที่มีการรณรงค์เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างหนัก ไม่ว่าเมืองไทยหรือต่างประเทศ ผมชอบเนื้อหาของ Wall-E ตรงที่มันได้จิกกัดสังคม อันเสื่อมโทรมในปัจจุบัน สังคมที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี ขยะที่ recycle ไม่ได้ ขยะที่มากมายมหาศาล ขยะที่ใช้แล้วทำลายไม่ได้ ขยะที่ยังคงอยู่บนโลก อยู่กับมนุษย์ที่ไม่รู้จักการธำรงค์รักษาสิ่งแวดล้อม

จนวันนึง โลกที่สวยงามก็ไม่สามารถอยู่ได้อีกต่อไป เมื่อบนโลกใบนี้มีแต่ขยะ และสิ่งปฏิกูล มลพิษ ที่มนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ จึงต้องระหกระเหินหนีตายออกไปนอกโลก เหมือนเรามีบ้าน แต่บ้านเราอยู่ไม่ได้ เพราะเราไม่ดูแลรักษา สุดท้ายเราก็ต้องหนีออกจากบ้าน ไปหาที่ๆอยู่ได้

บนยานอวกาศนั้นก็เต็มไปด้วยเทคโนโลยี มนุษย์แทบไม่รู้จักวิธีที่จะเดิน ไม่รู้จักการสัมผัส การสื่อสารทุกอย่างต้องผ่านเทคโนโลยี สิ่งต่างๆถูกควบคุมด้วย computer ไม่ว่าจะเสื้อผ้าหน้าผม อาหารการกิน การศึกษา ซึ่งมองในโลกปัจจุบันแล้ว ก็แทบจะไม่ต่างกันเท่าไหร่ เพียงแค่ในหนังมันทำเวอร์ไปนิดก็เท่านั้นเอง

หนังเรื่องนี้สื่อสารถึงผู้คน ทั้งลูกเด็กเล็กแดง ทั้งผู้ใหญ่ได้ดี ว่าถ้าหากเราไม่รักษาโลกใบนี้ไว้แล้ว เราก็จะไม่มีโลกให้อยู่ และหากว่าเราไม่พยายามใช้ชีวิตให้เปลี่ยนแปลงไปมาก เราก็จะรักษาอารยธรรมของมนุษย์ไว้ได้ ยิ่งเปลี่ยนแปลงไปมาก สิ่งที่บรรพบุรุษสร้างเอาไว้ก็จะถูกทำลายลงในที่สุด

ตัวละครเอกในเรื่องนี้ก็จะมี Wall-E เป็นหุ่นยนต์เก็บขยะ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่จัดการขยะที่อยู่บนโลก มันทำงานมากว่า 700 ปี จนเหลืออยู่เพียงตัวเดียว มีเพียงแมลงสาปเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนกับมัน จนวันนึง ก็มียานสำรวจลงมาบนโลก เพื่อส่งหุ่นยนต์ชื่อ Eva มาสำรวจข้อมูลทางกายวิภาค และสภาพอากาศบนโลก จนไปเจอกับ Wall-E ทำให้ Wall-E ตกหลุมรัก Eva เข้าเต็มเปา และแล้วหน้าที่ของ Eva ก็สมบูรณ์เมื่อเจอกับความลับบางอย่างบนโลก นั้นก็คือ "กล้าไม้" ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่า ขณะนี้โลกได้จัดการกับมลภาวะต่างๆ ได้หมดแล้ว

และการผจญภัยในอวกาศของ Wall-E ก็เริ่มขึ้น จนในที่สุด ก็สามารถพามนุษย์กลับมายังต้นกำเนิดของตัวเองได้สำเร็จ หลังจากที่พวกเขาห่างบ้านใบนี้ไปนานกว่า 700 ปี

หากเราไม่อยากให้วันนั้นเกิดขึ้น เราก็ควรจะดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและโลกของเราตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าทางข้างหน้าจะยาวไกลเพียงไร สิ่งสำคัญก็ขึ้นอยู่ที่ก้าวแรก ก้าวที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาโลกใบนี้ครับ

2010-10-05

Kungfu Panda จอมยุทธพลิกล๊อค ช๊อคยุทธภพ

image:  howannoyingisit.com

เป็น Animation ที่ทำภาพและสีสันสวยมากครับ การออกแบบบทำได้กลมกลืน และดูไม่ขัดตา มีลูกเล่นพริ้วไหว เหมือนสัตว์จริงๆ ตามแบบ animation ของ dreamworks

เนื้อเรื่องย่อก็คือ มีแพนด้าตัวนึงชื่อ "โพ" เป็นพวกคลั่งใคล้ในวิชากังฟู เขาใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กๆว่าอยากเรียนวิชากังฟู และเป็นจอมยุทธที่แกร่งกล้า จนพบว่าพอตัวเองตื่นจากฝันขึ้นมาก็ยังอยู่ในร้านขายบะหมี่ จนวันนึง สำนักฝึกวิชากังฟู ต้องการผู้สืบทอดเคล็ดวิชามังกร ทำให้มีคนมากมาย ไปรวมกันที่สำนักฯ รวมทั้งโฟด้วย ที่ต้องแบกเอาเครื่องทำบะหมี่ขึ้นไปขาย แต่ด้วยชะตาที่ลิขิตไว้แล้ว เขาก็เหมือนส้มหล่น ได้รับการเลือกเป็นผู้สืบทอดเคล็ดวิชามังกร จากอาจารย์ "ชิฟู" ทำให้เกิดความไม่พอใจ กับผู้พิทักษ์ทั้งห้า ดังนี้ ไทเกรส พยัคฆ์เสือ (แองเจลิน่า), เครน กระเรียนทอง (เดวิด ครอส), แมนทิส ตั๊กแตนจอมต่อย (เซธ โรแกน), ไวเปอร์ อสรพิษไฟ (ลูซี่ หลิว) และมังกี้ เจ้าวานร (เฉินหลง )

โพจึงถูกฝึกอย่างหนัก และถูกบีบคั้นให้ยอมแพ้ เพราะเค้าทั้งอ้วน ทั้งพุงพุ้ย คงไม่สามารถฝึกกังฟูได้ แต่แล้ว เมื่อ "อ.ชิฟู" ได้สร้างแรงบรรดาลใจ จนฝึกกังฟูให้โพได้สำเร็จ จนได้เคล็ดวิชามังกร ที่เป็นกระดาษเปล่าๆ "ไม่มีอะไร" ทำให้ทั้ง ชิฟู และโพ เกิดความท้อแท้ว่า ต้องแก้ต่อ "ไต้หลุง" เป็นแน่แท้ เพราะ "ไต้หลุง" เคยเป็นศิษย์เอกของ อ.ชิฟูมาก่อน แต่ด้วยความหยิ่ง จองหอง และความโหดเหี้ยม อมหิตของเขา ทำให้ "อ๊อกเวย์ ผู้เฒ่าเต่า" ไม่เลือกเขาเป็นผู้สืบทอดวิชามังกร จนเขาเองใช้กำลังเพื่อแย่งชิงตำรามังกร ทำให้ถูกจองจำอยู่ในคุก "อาสคาบัน" (มาไงวุ้ย =_=; ) คุกอะไรจำไม่ได้ แต่เป็นคุกที่ไม่มีทางหนีรอดมาได้ แต่แล้วไต้หลุงก็หลุดออกมาได้ เพื่อกลับมาแก้แค้น

จนเมื่อไต้หลุงกลับมาถึง ด้วยความแค้น เขาจึงทำร้าย ชิฟู เพื่อแย่งชิงตำรามังกร แต่ทว่า ตำรานั่นได้ให้ โพไปแล้ว โพเองตอนนี้ก็กำลังช่วยชาวบ้านอพยพหนีไต้หลุง ที่จะกลับมาทำลายบ้านเมือง จนกระทั่ง โพได้สูตรลับการทำบะหมี่ให้อร่อยของ "มิสเตอร์พิง" พ่อของโพเอง ว่าสูตรการทำบะหมี่ให้อร่อย ก็คือ "ไม่มีสูตร" แค่เราเชื่อมั่นว่ามันต้องอร่อย มันก็จะอร่อย ทำให้โพ คิดได้ว่า ถ้าเขา "เชื่อมั่น" ว่าเขาทำได้ เขาก็ต้องทำชนะได้

จนเขากลับไปเพื่อสู้กับไต้หลุง แล้วสิ่งที่เขาเชื่อมั่นก็เกิดขึ้น ด้วยความอ้วนที่เคยเป็นอุปสรรค แต่เป็นจุดแข็งที่ทำให้ไต้หลุงทำอะไรเขาไม่ได้ จนไต้หลุงพ่ายแพ้ไปในที่สุด

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ให้กำลังใจคนที่กำลังท้อแท้และ ยังหาหนทางแก้ปัญหาบางอย่างไม่ได้ แต่หากเรามีใจเชื่อมั่น ว่ามันจะผ่านไปได้ เราก็จะผ่านพ้นมันไปได้ ขอแค่เราไม่หนี ไม่ถอย เมื่อเราสู้ด้วยความเชื่อมั่น และมั่นใจ เราจะผ่านทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่างไปได้ครับ เชื่อมั่น...!!

2010-10-01

That Sound Good เราสองสามคน

ภาพจาก majorcineplex.com

หนังเรื่องนี้ดูๆไปแล้ว ก็เหมือนไม่ใช่หนัง ดูคล้ายๆบันทึกการเดินทาง หรือสารคดีเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับความรักเข้ามาปะปนด้วยมากกกว่า
คนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้จะได้คำศัพท์ใหม่ติดออกมาด้วย ก็คือคำว่า "ออกตัวแรง" ซึ่ง "สุนทรีย์" เป็นสาวหูตึง กับ "เต๋อ" เป็นสาวสายตาสั้นมาก ทั้งสองต่างก็มีสิ่งที่ "ไม่ชัดเจน"

ผมเชื่อว่าถ้าใครได้อ่านบทวิจารณ์หนัง ก่อนที่จะเข้าไปชม คุณจะอินกับหนังเรื่องนี้มากๆ เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ไม่หวือหวา และแอบหยอดมุขตลก (ที่ไม่ต้องหยาบคาย) ให้ได้ขำ ได้อมยิ้มกันเป็นพักๆ กับวิวและมุมกล้องสวยๆที่คุณจะไม่เคยเห็นจากหนังเรื่องไหนมาก่อน ผมเองประทับใจรูปที่ "ส้มฉุน" (เจ มณฑล) ขึ้นไปยืนบนหลังคาแล้ว ถ่ายรูปด้วยกล้องมือถือมากๆ มันเป็นอิริยาบทธรรมดาๆ ทั่วไปที่ใครๆก็ทำกัน แต่มุมกล้องที่ถ่ายออกมา มันทำให้รู้สึกสุดยอด รู้สึกเท่มากๆ ท่ามกลางทะเลทราย เป็นมุมที่ผมเองประทับสุดๆ

หนังเรื่องนี้ก็มีแง่คิดเกี่ยวกับ ผู้หญิงที่ฟังไม่ชัด กับ ผู้หญิงที่เห็นไม่ชัด กับผู้ชายที่ใจไม่ชัด ว่าระหว่างสองคน จะเลือกใครดี ลองอ่านบทวิจารณ์หนังได้ที่นี่ครับ
http://www.majorcineplex.com/movie_update_detail.php?newsid=2479

หนังเรื่องนี้ถ้ามองในมุมของการเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยว ก็เป็นทริปที่น่าติดตาม และน่าสนใจ ซึ่งในหนังก็ได้บอกรายละเอียดไว้เกือบครบถ้วน ตั้งแต่เริ่มนัดทริป ประชุม เดินทาง และการสื่อสารระหว่างผู้ร่วมเดินทาง การหาที่พัก การเตรียม passport ซึ่งถ้าเรานั่งอยู่หน้าคอมที่บ้าน ไม่มีทางได้พบเจอกับประสบการณ์แบบนี้เป็นแน่แท้

Movie Website: http://www.thatsoundgood.com